ข่าวสาร

การเข้ามาของเทรนด์ ‘Clean Fragrance’ และสิ่งที่ผู้บริโภคมองหา

อุตสาหกรรมน้ำหอมกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ถ้าเราเดินเข้าไปในร้านขายเครื่องสำอาง เราจะเห็นคำใหม่ๆ โผล่มาบนฉลากสินค้า อย่างคำว่า “clean” “transparent” หรือ “conscious” แต่จริงๆ แล้ว “clean fragrance” หมายความว่าอย่างไร และทำไมความเป็น clean fragrance จึงเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่น Gen Z หรือผู้บริโภคที่หลงใหลในกลิ่นหอมมองหามากขึ้นขนาดนี้

Clean Fragrance Movement ไม่ใช่แค่เทรนด์ชั่วคราว แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานในวิธีคิดของผู้บริโภค ทั้งเรื่องสิ่งที่จะทาลงบนผิว เรื่องส่วนผสมที่ยอมรับได้ และเรื่องว่าจะเชื่อใจแบรนด์ไหน สำหรับผู้ผลิตน้ำหอมและแบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภค การเข้าใจกระแสนี้ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็น

ผู้บริโภคที่ใส่ใจคัดสรรมากขึ้น

เทรนด์ ‘clean’ ในวงการเริ่มต้นจากผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอาง และน้ำหอมก็คงหนีไม่พ้นที่จะตามมาในอีกไม่นาน การศึกษาของ Environmental Working Group ในปี 2024 พบว่า 73% ของผู้บริโภคกำลังมองหาผลิตภัณฑ์ที่มีรายการส่วนผสมที่โปร่งใส และน้ำหอมก็ไม่สามารถเป็นข้อยกเว้นได้อีกต่อไป

หากถามว่าอะไรคือตัวขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้ ก็คงมีสามเรื่องหลักๆ:

ความรู้เรื่องส่วนผสม
โซเชียลมีเดียทำให้ความรู้ด้านความงามกระจายไปถึงคนทั่วไปได้ง่ายขึ้น ผู้บริโภคสามารถค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับส่วนผสมได้ในชั่วพริบตา ความสนใจเรื่องสารก่อภูมิแพ้ สารสังเคราะห์ และประเด็นความยั่งยืนกันผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ความโปร่งใสแบบนี้ อาจเป็นมิติใหม่สำหรับการบริโภคสินค้าความงามไปอย่างสิ้นเชิง

การใส่ใจสุขภาพ
หลังยุคโควิด ผู้บริโภคเริ่มตระหนักถึงเรื่องสุขภาพและความเป็นอยู่มากขึ้น ตั้งแต่คุณภาพอากาศในบ้านไปจนถึงผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทุกวัน ทุกอย่างจะถูกตั้งคำถาม น้ำหอมที่เคยถูกมองว่าเป็นแค่เรื่องความสวยงาม ตอนนี้ก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีไปแล้ว

ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
ความกังวลเรื่องสภาพอากาศเป็นเรื่องจริง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ พวกเขาไม่ได้สนใจแค่ว่ามีอะไรในผลิตภัณฑ์ แต่ยังอยากรู้ว่าส่วนผสมมาจากไหน เก็บเกี่ยวอย่างไร และเกิดอะไรขึ้นเมื่อผลิตภัณฑ์เหล่านั้นถูกชะล้างลงท่อน้ำ

ถอดรหัส “Clean” ให้เข้าใจ
สำหรับคำว่า “clean” นี้อาจจะยังสับสนอยู่สักหน่อย เพราะไม่เหมือนคำว่า “organic” หรือ “natural” ที่มีนิยามชัดเจนตามกฎหมาย

คำว่า “clean fragrance” ไม่มีมาตรฐานสากลตายตัว แต่ละแบรนด์ก็ตีความกันคนละแบบ ซึ่งก็นำไปสู่ทั้งนวัตกรรมใหม่ๆ แต่โดยทั่วไปแล้ว Clean Fragrance Movement มักจะหมายถึงหลักการหลักๆ ดังนี้:

ยึดมั่นในความโปร่งใสเป็นอันดับแรก
แบรนด์น้ำหอมสะอาดต้องยอมเปิดเผยส่วนผสมอย่างครบถ้วน ไม่มีการซ่อนหลังคำคลุมเครืออย่าง “parfum” หรือ “fragrance” ในรายการส่วนผสมอีกต่อไป ผู้บริโภคอยากรู้ชัดๆ ว่ากำลังใช้โมเลกุลอะไรอยู่ โดยเฉพาะกลุ่มโมเลกุลหลัก หรือ กลุ่มโมเลกุลที่อาจเสี่ยงต่อการเกิดความระคายเคือง

รายการสารต้องห้าม
มาตรฐานน้ำหอมสะอาดส่วนใหญ่จะตัดสารที่เป็นที่กำลังเป็นที่ถกเถียงและจับตามองด้านความปลอดภัยออก เช่น phthalates (ที่เชื่อมโยงกับการรบกวนต่อมไร้ท่อ) parabens, synthetic musks และสารกันบูดบางชนิด บางแบรนด์ก็ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยการหลีกเลี่ยงสารที่ถูกระบุโดยองค์กรอย่าง International Fragrance Association (IFRA) หรือทำตามมาตรฐาน California’s Prop 65
การหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืน เพราะคำว่า clean ไม่ได้หมายถึงแค่ตัดอะไรออก แต่ยังหมายถึงว่าส่วนผสมมาจากไหนด้วย การจัดหาที่มีจริยธรรม การค้าที่เป็นธรรม และการปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ เรื่องเหล่านี้กำลังกลายเป็นสิ่งที่ต่อรองไม่ได้สำหรับผู้บริโภคที่ใส่ใจ

ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
เรื่องราวขยายออกไปนอกขวดแล้ว น้ำหอมย่อยสลายในระบบน้ำอย่างไร มีระดับการย่อยสลายทางชีวภาพเท่าไหร่ คำถามพวกนี้สำคัญมากสำหรับผู้ซื้อที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน

เบื้องหลังมาตรฐานนี้ คือวิทยาศาสตร์และการคำนวน

ในขณะที่ฝั่งการตลาดกำลังถกเถียงกันเรื่องนิยามคำศัพท์ นักวิทยาศาสตร์ก็กำลังทำงานกับตัวชี้วัดที่จับต้องได้และมีนัยยะสำคัญจริงๆ เช่น ความสามารถในการย่อยสลายทางชีวภาพ ที่กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการประเมินผลกระทบของน้ำหอมที่มีต่อสิ่งแวดล้อม เมื่อโมเลกุลน้ำหอมถูกชะล้างออกจากผิวของเราแล้วไหลกลับสู่ระบบนิเวศน์ทางน้ำ มันจะย่อยสลายได้เร็วแค่ไหน และย่อยสลายได้อย่างสมบูรณ์แค่ไหน

ความก้าวหน้าในการทดสอบทำให้ผู้ผลิตน้ำหอมสามารถบอกข้อมูลการย่อยสลายทางชีวภาพที่แม่นยำได้สำหรับแต่ละสูตร ความเข้มงวดทางวิทยาศาสตร์แบบนี้เปลี่ยน “clean” จากคำทางการตลาดที่คลุมเครือให้กลายเป็นมาตรฐานที่วัดผลได้จริง

ซัพพลายเออร์ที่คิดไกลบางรายเริ่มให้ใบรับรองการย่อยสลายทางชีวภาพมาพร้อมกับทุกสูตรน้ำหอม ทำให้แบรนด์มีข้อมูลที่จับต้องได้ไปแชร์กับผู้บริโภคที่มีความรู้มากขึ้น

การเปลี่ยนไปใช้สูตรเวแกนก็เป็นอีกหนึ่งวิวัฒนาการที่มีหลักวิทยาศาสตร์รองรับ รวมไปถึงการทำน้ำหอมแบบดั้งเดิมอาศัยส่วนผสมที่มาจากสัตว์ เช่น musk, ambergris และ castoreum เทคโนโลยีชีวภาพและเคมีสีเขียว (green chemicals) ในปัจจุบันสามารถสร้างโน้ตกลิ่นเหล่านี้โดยไม่ต้องใช้แหล่งที่มาจากสัตว์ … ขณะเดียวกันก็ยังคงความเป็นเลิศของกลิ่นไว้ได้ และตอบโจทย์มาตรฐานด้านจริยธรรมด้วย การทดสอบที่ไม่ใช้สัตว์อย่างครอบคลุมก็รับประกันความปลอดภัยโดยไม่ต้องประนีประนอม

สิ่งที่ผู้บริโภคมองหาจริงๆ

งานวิจัยจาก Mintel’s 2024 Global Beauty & Personal Care trends เผยว่าผู้บริโภคน้ำหอมสะอาดให้ความสำคัญกับอะไรบ้าง:

หลักฐานชัดเจนมากกว่าคำเคลม
68% ของผู้บริโภคบอกว่าไม่ค่อยเชื่อเรื่อง “clean” ถ้าไม่มีการรับรองจากหน่วยงานอิสระหรือข้อมูลที่โปร่งใส พวกเขาต้องการหลักฐานที่จับต้องได้ ไม่ว่าจะเป็นใบรับรองการย่อยสลายทางชีวภาพ รายงานความยั่งยืน หรือข้อมูลการจัดหาวัตถุดิบที่ชัดเจน สิ่งเหล่านี้สร้างความไว้วางใจได้มากกว่าการอ้างทางการตลาดที่คลุมเครือ

ประสิทธิภาพไม่ต้องลดลง
Clean ไม่ได้แปลว่าบางเบา ผู้บริโภคยังคาดหวังน้ำหอมที่ติดทนนาน กระจายกลิ่นได้ดี ให้ประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสไม่ต่างจากตัวเลือกทั่วไป ความท้าทายของอุตสาหกรรมคือการพิสูจน์ว่ากลิ่นน้ำหอมสูตร clean ยังสามารถซับซ้อนและยาวนานพอๆ กันได้

มาตรฐานที่ชัดเจน
ผู้บริโภคที่รู้เรื่องตอนนี้เริ่มอ้างอิงกฎระเบียบเฉพาะแล้ว ไม่ว่าจะเป็น California’s Prop 65, กฎระเบียบเครื่องสำอางของ EU หรือมาตรฐาน clean beauty ที่กำลังเกิดขึ้นใหม่ เหล่านี้คือกรอบที่พวกเขาเข้าใจและเชื่อถือ แบรนด์ที่สามารถแสดงให้เห็นว่าสอดคล้องกับมาตรฐานที่ยอมรับเหล่านี้จะมีข้อได้เปรียบชัดเจน

การปรับแต่งตามความต้องการ
“Clean” ของแต่ละคนอาจไม่เหมือนกัน บางคนอาจเน้นส่วนผสมจากธรรมชาติ ในขณะที่อีกคนอาจเน้นโมเลกุลสังเคราะห์ที่มีข้อมูลความปลอดภัยชัดเจน แนวทาง clean fragrance ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคือการให้ความโปร่งใส เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคตัดสินใจอย่างรอบรู้ตามค่านิยมของตัวเอง

การตอบสนองมาตรฐาน Clean

สำหรับแบรนด์ที่อยากจะเข้าสู่ตลาด clean beauty หรือ clean fragrance หรือปรับสูตรผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ให้เป็น clean การเลือกร่วมงานกับผู้ผลิตน้ำหอมที่เข้าใจทั้งด้านวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาของผู้บริโภคเป็นเรื่องสำคัญมาก

ตั้งแต่ความสามารถในการให้ข้อมูลการย่อยสลายทางชีวภาพที่ละเอียด การรับประกันสูตรเวแกน และการยืนยันว่าสอดคล้องกับกฎระเบียบ clean beauty ไม่ใช่แค่สิ่งที่ดีที่น่าสนใจอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นความจำเป็นพื้นฐาน

ซัพพลายเออร์ชั้นนำหลายรายตอนนี้กำลังพัฒนาคอลเลกชัน clean fragrance พิเศษที่ตัดสารที่ถูกจำกัดออกหมดแล้ว แต่ยังคงความคิดสร้างสรรค์และประสิทธิภาพที่แบรนด์ต้องการไว้ คอลเลกชันเหล่านี้เป็นเหมือนทางลัดสู่ clean compliance โดยต้องไม่สูญเสียอัตลักษณ์ของศิลปะการรังสรรค์กลิ่น

จีทีซี ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดด้วยการทำให้ความโปร่งใสและความยั่งยืนเป็นรากฐานของการทำงาน ทุกสูตรน้ำหอมมาพร้อมกับใบรับรองการย่อยสลายทางชีวภาพที่ครบถ้วน ให้แบรนด์มีข้อมูลที่จับต้องได้ไปแชร์กับผู้บริโภค

น้ำหอมของเราทุกตัว ถูกพัฒนาขึ้นโดยไม่มีการทดสอบกับสัตว์ก็ตอบโจทย์มาตรฐานจริยธรรมที่ผู้บริโภคต้องการ

และสำหรับแบรนด์ที่ต้องการความสอดคล้อง clean สูงสุด GeTeCe มีคอลเลกชันพิเศษที่สูตรถูกออกแบบมาให้เกินมาตรฐาน clean beauty ตัดส่วนผสมที่เป็นที่ถกเถียงออกหมดแล้ว แต่ยังคงส่งมอบประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสที่ยอดเยี่ยม

อนาคตคือความโปร่งใส

Clean Fragrance Movement ไม่ได้ชะลอตัวลง แต่กำลังพัฒนาต่อไป เราคาดว่าจะได้เห็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้ตรวจสอบที่มาของส่วนผสมได้ครบทุกขั้นตอน เครื่องมือ AI ที่ช่วยผู้บริโภคหาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับความไวของแต่ละคน และการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ

สิ่งที่จะไม่เปลี่ยนคือความต้องการพื้นฐานของผู้บริโภคที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้: สิทธิที่จะรู้ว่ามีอะไรในผลิตภัณฑ์ ส่วนผสมแต่ละอย่างนั้นมาจากไหน และส่งผลกระทบอย่างไร

แบรนด์ที่ยอมรับความโปร่งใส ลงทุนกับแนวทางที่ยั่งยืน และมุ่งมั่นต่อมาตรฐาน clean ที่วัดผลได้ จะไม่ได้แค่อยู่รอดจากการเปลี่ยนแปลงนี้ แต่จะเป็นผู้นำของตลาด

คำถามไม่ใช่ว่า clean fragrance จะอยู่ต่อไปหรือเปล่า แต่คำถามคือ: แบรนด์ของคุณจะตอบอย่างไรเมื่อผู้บริโภคถามว่า “clean” หมายความว่าอย่างไรสำหรับคุณ

บทความที่เกี่ยวข้อง